Virtual Private Network (VPN) คือเครื่องมือสำคัญสำหรับคนที่ต้องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบไม่ถูกจำกัด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในประเทศที่มี การควบคุมข้อมูลเข้มงวด อย่างประเทศจีน แต่ใครที่เคยพยายามใช้ VPN ในจีนอาจเคยเจอปัญหา ความเร็วตก หลุดบ่อย เชื่อมต่อไม่ได้ทั้งวัน บทความนี้จะพาคุณมาหาคำตอบว่า ทำไม VPN ถึงไม่เสถียรเมื่อใช้ในจีน พร้อมอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ อ่านเพิ่มเติม
VPN ทำไมถึงใช้ในจีนแล้วไม่เสถียร? เจาะลึกเบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้
จีนมีระบบป้องกัน Great Firewall ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Great Firewall of China คือชื่อเรียกระบบตรวจสอบและเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตของจีน รัฐบาลจีนสามารถ บล็อกเว็บไซต์ (เช่น Google, Facebook, Instagram, X, YouTube, Wikipedia ฯลฯ) ตรวจสอบทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งาน ตรวจจับทราฟฟิกที่เข้ารหัส เช่น VPN
แม้ VPN จะถูกออกแบบมาเพื่อซ่อนการใช้งาน แต่จีนใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Deep Packet Inspection (DPI) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบทราฟฟิกและบล็อกการใช้ข้อมูล VPN ต้องหาทางซ่อนตัวตลอดเวลา ต้องอัปเดตเซิร์ฟเวอร์/โปรโตคอลบ่อย ๆ ผู้ใช้มักเจอความเร็วตก เพราะทราฟฟิกต้องวิ่งผ่านขั้นตอนพิเศษเพื่อหลบการบล็อก
แหล่งอ้างอิง: greatfire.org, Freedom House
VPN ในจีนไม่ใช่แค่ "ไม่เสถียร" แต่ อาจผิดกฎหมาย
หลายคนไม่รู้ว่า VPN ในจีนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด บริษัทที่ต้องใช้ VPN เชื่อมโยงข้อมูลข้ามประเทศ ต้องยื่นขออนุญาต จาก กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) บุคคลทั่วไปที่ใช้ VPN ที่ไม่ได้รับอนุญาต มีความเสี่ยงที่จะทำผิดทางกฎหมาย
แม้การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ใช้งานรายย่อยไม่เข้มมาก (จนถึงขั้นจับกุม) แต่การบล็อก การลดความเร็ว หรือการปิดเซิร์ฟเวอร์ เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลคือ VPN ที่ให้บริการบุคคลทั่วไป ที่สามารถโหลดได้ในแอปสโตร์มักถูกแบนหรือจำกัดความเร็ว อย่างหนัก
เหตุผลด้านเทคนิค ระยะทาง, Latency, Bandwidth
การใช้ VPN หมายถึง ข้อมูลต้องวิ่ง จากจีน -> ออกต่างประเทศ -> กลับเข้าเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง แต่ละจุดต้องผ่านการเข้ารหัส/ถอดรหัส เพิ่มเวลาในการประมวลผล เครือข่ายของจีนบางครั้ง จำกัดการเชื่อมต่อข้ามประเทศ เพื่อลดภาระบนโครงข่ายในประเทศ
ถ้าเซิร์ฟเวอร์ VPN อยู่ไกล (เช่น ในยุโรป หรืออเมริกา) latency จะสูงขึ้นมากตามระยะทาง ยิ่งถ้า VPN ต้องใช้โปรโตคอลที่ซับซ้อน เช่น OpenVPN, WireGuard เพื่อหลบ DPI ก็ยิ่งใช้ bandwidth มากขึ้น
ถ้าจำเป็นต้องใช้ VPN ในจีน ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ ใกล้จีนที่สุด เช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์
รัฐบาลจีนลงทุนต่อต้าน VPN อย่างจริงจัง
รายงานจาก South China Morning Post (SCMP) และ BBC ชี้ว่า รัฐบาลจีนไม่เพียงแค่ดักจับและปิดการใช้ VPN แต่ลงทุนด้าน AI, Machine Learning, และ DPI เพื่อตรวจจับทราฟฟิกแปลกปลอม นั่นหมายความว่า เมื่อ VPN เริ่มถูกตรวจจับได้ ระบบจะ บล็อก, ลดความเร็ว หรือเปลี่ยนเส้นทาง (reroute) โดยอัตโนมัติ แม้ VPN จะหาทางเลี่ยง แต่การไล่จับของจีน คือเกมแมวจับหนูที่ไม่มีวันจบ
แหล่งอ้างอิง: South China Morning Post, BBC
มีวิธีไหนบ้างที่จะใช้แอปต่างๆ ได้โดยไม่ถูกจำกัด
วิธีที่แนะนำมากที่สุดและไม่ผิดกฎหมายสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ใช่คนจีน และต้องการใช้งานแอปที่ถูกจำกัดในจีนคือ การโรมมิ่งข้อมูลจากต่างประเทศมาใช้ เนื่องจากการโรมมิ่งนั้นเป็นไปตามการใช้งานของเครือข่ายต้นทาง ซึ่งจะใช้เครือข่ายในประเทศจีนเพื่อส่งผ่านไปยังผู้ใช้ จึงไม่ถูกจำกัดการใช้งาน หากกำลังมองหาซิมโรมมิ่ง หรือซิมต่างประเทศที่ไว้ใช้ในจีน แนะนำ eSIM Vacay
ข้อดี
- ไม่ถูกจำกัด ใช้งานแอปโซเชียลได้ เช่น Facebook, IG, LINE, TwitterX, Google, TikTok
- โรมมิ่งไม่รั่ว ไม่ใช้โรมมิ่งจากเบอร์เดิม
- ใช้ eSIM ไม่ต้องรอซิมส่ง ไม่ต้องลงทะเบียนซิม
- ซื้อออนไลน์ พร้อมใช้งานทันทีตลอด 24 ชม.
- มีแพ็กเกจเน็ตไม่จำกัด ใช้งานได้ไม่อั้นไม่กลัวหมด
- เน็ตแรงไม่ผ่าน VPN ไม่ต้องถูกตรวจสอบหลายชั้น
สั่งซื้อ eSIM Vacay เลย
สรุป
VPN จะไม่เสถียรในจีน เพราะถูกระบบ Great Firewall ตรวจจับและบล็อกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง DPI ทำให้ช้าลง หลุดบ่อย หรือเชื่อมต่อไม่ได้ อีกทั้ง VPN ที่ไม่ได้รับอนุญาตอาจผิดกฎหมาย ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและไม่ถูกบล็อกคือใช้ eSIM โรมมิ่งจากต่างประเทศ เช่น eSIM Vacay ที่ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่ง VPN
