รู้ก่อน สายช้อปต้องวางแผนยังไง?
ญี่ปุ่นเป็นสวรรค์ของนักช้อปทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่ไปเที่ยวแล้วต้องมีช้อปกระเป๋าฉีกกลับบ้านทุกที สิ่งที่หลายคนคุ้นเคยคือระบบ Tax-Free ที่ช่วยประหยัดเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 8-10% ได้ทันทีที่จุดขาย แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ ญี่ปุ่นประกาศแล้วว่า จะยกเลิกระบบ Tax-Free และเปลี่ยนเป็นระบบ Tax-Refund แทน
ทำไมญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนเป็น Tax-Refund?
ที่ผ่านมา การใช้ระบบ Tax-Free มีช่องโหว่ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วน ซื้อสินค้าปลอดภาษีแล้วเอากลับมาขายในประเทศ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้และตรวจสอบยากจากการสุ่มตรวจ จึงทำให้ญี่ปุ่นเตรียมเปลี่ยนระบบเป็น Tax-Refund ตามมาตรฐานหลายประเทศในยุโรป ในสิ้นปี 2026 ซึ่งจะช่วยควบคุมและตรวจสอบง่ายขึ้น เพราะผู้ซื้อจะต้องนำของมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่สนามบินก่อน และนำออกนอกประเทศจริงถึงได้เงินคืน
ระบบ Tax-Free เดิมเป็นยังไง?
- ต้องซื้อครบขั้นต่ำ 5,000 เยนต่อร้านถึงจะขอคืนภาษีได้
- เพดานซื้อสูงสุด 500,000 เยนต่อร้านต่อวัน
- ร้านค้าจะทำเรื่องคืนภาษีให้ทันที
- สินค้าต้องไม่ใช้หรือเปิดใช้ในญี่ปุ่น (โดยเฉพาะของกิน/เครื่องสำอาง)
ระบบ Tax-Refund ใหม่เป็นยังไง?
ขั้นตอนของ Tax-Refund ใหม่
- จ่ายสินค้าราคาเต็ม ที่รวม VAT 10% (สินค้าทั่วไป) หรือ 8% (ของกิน)
- ต้องเก็บใบเสร็จ + เอกสารให้เรียบร้อย ห้ามทิ้งเด็ดขาด!!
- ขอคืนภาษีที่สนามบิน ก่อนเช็กอิน โหลดกระเป๋า โชว์ใบเสร็จ+สินค้า เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ใช้หรือขายต่อในญี่ปุ่น
สินค้าแบบไหน และใครที่ขอคืนได้?
- นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือคนญี่ปุ่นที่อาศัยต่างประเทศแล้วมาเยือนชั่วคราว (ไม่เกิน 6 เดือน)
- สินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา กระเป๋า
- ของกิน/ยา/เครื่องสำอาง สินค้าประเภทสิ้นเปลือง และต้องปิดผนึกในซอง ห้ามใช้ในญี่ปุ่นเด็ดขาด!!
- ต้องนำสินค้าออกจากญี่ปุ่นภายใน 30 วัน
ข้อดีข้อเสียของระบบใหม่
ข้อดี
- ลดการโกง-ขายต่อสินค้าปลอดภาษีในประเทศ
- จากข้อมูลข่าวสารเบื้องต้น สามารถช้อปได้ไม่มีเพดานสูงสุด และไม่ได้จำกัดขั้นต่ำ
- ร้านค้าทำงานน้อยลง และรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องจัดการเอกสาร Tax-Free ให้ลูกค้า
ข้อเสีย
- นักท่องเที่ยวต้อง จ่ายเต็มก่อน แล้วรอเงินคืนภายหลัง
- มีขั้นตอนเพิ่มขึ้น ต้องเผื่อเวลาไปทำเรื่องที่สนามบิน
- ถ้าคิวคืนภาษียาว อาจเสียเวลาจนพลาดไฟลท์ได้ถ้าไม่วางแผน
เคล็ดลับสายช้อป เตรียมรับมือ Tax-Refund ญี่ปุ่น
- วางแผนยอดซื้อ ให้คุ้ม ควรซื้อร้านใหญ่ๆ ที่เข้าร่วมโครงการคืนภาษี
- ห้ามทิ้งใบเสร็จเด็ดขาด!!
- เผื่อเวลาเช็กอิน + คืนภาษีที่สนามบิน เพิ่มอย่างน้อย 1-2 ชม.
- ตรวจเงื่อนไขของสินค้าก่อนซื้อ บางอย่างใช้ไม่ได้ ถ้าเปิดใช้ในญี่ปุ่นจะไม่ได้คืน
- ควรรอประกาศทางการอีกครั้ง เพราะอาจมีรายละเอียดปลีกย่อย เช่น วิธีคืนด้วย เงินสด/คืนผ่านบัตร/ค่าธรรมเนียมคืนภาษี
ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Tax-Free กับ Tax-Refund
ข้อเปรียบเทียบ | Tax-Free (ปัจจุบัน) | Tax-Refund (ระบบใหม่) |
วิธีจ่าย | จ่ายและราคาหักภาษีคืนให้แล้วที่ร้าน | จ่ายเต็มราคารวม VAT |
ขอคืนภาษี | ได้คืนทันทีไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม | ไปยื่นขอคืนที่สนามบินก่อนกลับ |
เงื่อนไข | ยอดซื้อขั้นต่ำ 5,000 เยน ต่อร้าน ต่อครั้ง และไม่เกิน 500,000 เยน ต่อร้านต่อวัน | จ่ายเต็มเก็บหลักฐาน ซื้อเท่าไหร่ขอคืนเท่านั้น ไม่จำกัดยอดซื้อขั้นต่ำและเพดานสูงสุด |
เป้าหมาย | ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว | ลดการเลี่ยงภาษี-การขายต่อในประเทศ |
แม้จะเสียสภาพคล่องเงินสดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังได้ภาษีคืน เท่ากับนักท่องเที่ยวอย่างเรายัง ช้อปของญี่ปุ่นได้ถูกลงเหมือนเดิม เพียงแค่ต้องจัดการเอกสารให้ดี ไม่งั้นพลาดสิทธิคืนเงินไปฟรีๆ
สรุป
ญี่ปุ่นเตรียมยกเลิก Tax-Free และเปลี่ยนไปใช้ระบบ Tax-Refund ในสิ้นปี 2026 เนื่องจากต้องการป้องกันการทุจริตจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่นำสินค้าปลอดภาษีมาขายในประเทศต่อ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ การเปลี่ยนระบบทำให้นักท่องเที่ยวต้องใช้เวลามากขึ้นในการตรวจสอบสินค้าและเอกสารที่สนามบิน แต่ก็ยังคงได้เงินภาษีคืนเมื่อทำเงื่อนไขถูกต้อง