ขอวีซ่าอเมริกา F, M, J ควรตั้งค่าโซเชียลมีเดียเป็นสาธารณะหรือไม่? พร้อมแนวทางปฏิบัติ
ที่มาของนโยบาย Social Media Vetting
สหรัฐอเมริกาเริ่มบังคับใช้มาตรการตรวจสอบข้อมูลโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่า ตั้งแต่ปี 2019 ภายใต้มาตรการ Enhanced Security Vetting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายความมั่นคงเพื่อป้องกันภัยคุกคามและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสำนักกงสุล กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (U.S. Department of State) ได้เพิ่มคำถามเกี่ยวกับ Social Media Identifiers ลงในแบบฟอร์ม DS-160 (สำหรับวีซ่าชั่วคราว) และ DS-260 (สำหรับวีซ่าถาวร)
ผู้สมัครต้องกรอกชื่อบัญชีโซเชียลมีเดียที่ใช้งานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เช่น Facebook, Instagram, Twitter, TikTok, LinkedIn เป็นต้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตรวจสอบยืนยันตัวตน ประวัติการเดินทาง ความเชื่อมโยงกับกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
นโยบายทางการล่าสุด ตามประกาศของ U.S. Embassy Bangkok
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 เพจทางการของสถานทูต U.S. Embassy Bangkok ออกประกาศ ให้ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M หรือ J ตั้งค่าโปรไฟล์โซเชียลมิเดียเป็นสาธารณะ (Public) ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ ดังข้อความต่อไปนี้:
"ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M หรือ J ทุกท่านต้องปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดเป็นแบบ “สาธารณะ”สำหรับการตรวจสอบข้อมูลที่จำเป็นในการยืนยันตัวตนและคุณสมบัติในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ โดยข้อกำหนดนี้มีผลบังคับใช้ทันที" - U.S. Embassy Bangkok
ที่มา: เพจ Facebook U.S. Embassy Bangkok
เหตุผลที่ควรเปิดบัญชีสาธารณะระหว่างขอวีซ่า
- เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคล การตรวจสอบชื่อจริง ภาพโปรไฟล์ และกิจกรรมบนโซเชียล ช่วยให้เจ้าหน้าที่มั่นใจได้ว่าผู้สมัครมีตัวตนจริง สอดคล้องกับเอกสารอื่น เช่น หนังสือเดินทาง ใบ I-20 หรือ DS-2019
- ลดความเสี่ยงต่อการถูกเรียกเอกสารหรือสัมภาษณ์เพิ่ม ในหลายกรณีที่ผู้สมัครตั้งค่าบัญชี Private และกรอกชื่อโซเชียลมีเดียแต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องขอข้อมูลเพิ่มหรือเรียกสอบสัมภาษณ์อีกครั้ง ส่งผลให้เสียเวลาและอาจกระทบต่อแผนการเดินทาง
- เพื่อความโปร่งใสและลดโอกาสถูกตีความว่าปกปิดข้อมูล แม้การตั้งค่า Private จะไม่ผิด แต่ในทางจิตวิทยาการพิจารณา หากมีความคลุมเครือหรือมีข้อมูลไม่ตรง อาจถูกตีความได้ว่าผู้สมัครพยายามปกปิดข้อมูลบางส่วน
แนวทางปฏิบัตินี้ ควรพิจารณาทำตามเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครเอง
แนวทางปฏิบัติที่แนะนำ
- กรอกชื่อบัญชีโซเชียลมีเดียตามความเป็นจริงและใช้งานจริงในแบบฟอร์ม
- ตรวจสอบว่าโปรไฟล์ ชื่อ รูปภาพ ข้อมูลการศึกษาและกิจกรรมตรงกับข้อมูลที่ยื่น
- ปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้เป็นสาธารณะอย่างน้อยในช่วงระหว่างรอผลพิจารณา เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
- หลังวีซ่าได้รับอนุมัติแล้ว ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ากลับเป็นส่วนตัวตามความต้องการได้
- ไม่จำควรให้รหัสผ่านหรือข้อมูลล็อกอินกับใคร รวมถึงเอเจนซี่หรือบุคคลที่สาม
ประเด็นสำคัญที่ต้องระวัง
- โพสต์หรือรูปภาพที่อาจส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือ เช่น เนื้อหาผิดกฎหมาย กิจกรรมที่ส่อไปในทางลบ หรือข้อมูลที่ขัดแย้งกับเอกสารวีซ่า เช่น การโพสต์ทำงานเกินชั่วโมงที่กฎหมายกำหนด (สำหรับผู้ถือวีซ่านักเรียน)
- ชื่อบัญชีที่ซ้ำซ้อน หลายชื่อ หลายโปรไฟล์ ควรระบุชื่อหลักที่ใช้งานจริง และลบหรือปิดบัญชีที่ไม่ใช้งานเพื่อลดความสับสน
- หากใช้ชื่อเล่นหรือชื่อที่ไม่ตรงกับหนังสือเดินทาง ให้มีข้อมูลที่ช่วยให้ยืนยันได้ เช่น รูปโปรไฟล์ที่แสดงหน้าชัดเจน หรือการเชื่อมโยงกับโรงเรียนหรือสถาบันที่ออกเอกสาร I-20 หรือ DS-2019
มีหลายเคสถูกขอข้อมูลเพิ่ม เมื่อบัญชีตั้งค่าเป็นส่วนตัว (Private) หรือมีเนื้อหาที่ไม่สามารถยืนยันความเป็นตัวตนได้ครบถ้วน ทำให้เกิดความล่าช้า หรือมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่จะพิจารณาไม่อนุมัติวีซ่า หากมองว่าไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างโปร่งใส
บางกรณี ผู้สมัครอาจได้รับการแนะนำจากบริษัทให้คำปรึกษาด้านวีซ่า หรือเจ้าหน้าที่กงสุลในบางสถานทูตให้เปิดการตั้งค่าเป็นสาธารณะชั่วคราว เพื่อให้การตรวจสอบทำได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะวีซ่ากลุ่ม F (นักเรียน) M (สายวิชาชีพ) และ J (แลกเปลี่ยน) ซึ่งมักยื่นล่วงหน้านานและต้องใช้ผลพิจารณาที่รวดเร็วเพื่อไปทันกำหนดเรียนหรือฝึกงาน
ช่องทางติดตามประกาศและข่าวสำคัญ
หากมีนโยบายอื่น ๆ เพิ่มเติม สถานทูตสหรัฐฯ จะออกประกาศทางการผ่านช่องทางดังนี้
- เว็บไซต์ th.usembassy.gov
- เพจ Facebook US Embassy Bangkok
- เว็บไซต์ travel.state.gov ภายใต้หัวข้อ Visa Information Resources
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายล่าสุด ควรตรวจสอบกับสถานทูตสหรัฐฯ หรือที่ปรึกษาด้านวีซ่าที่น่าเชื่อถือ และอย่าลืมติดตามประกาศทางการจากเว็บไซต์หรือเพจทางการของสถานทูตเท่านั้น
สรุป
เพจทางการของสถานทูต U.S. Embassy Bangkok ออกประกาศ ให้ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M หรือ J ตั้งค่าโปรไฟล์โซเชียลมิเดียเป็นสาธารณะ (Public) ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ทันที ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป การเปิดโปรไฟล์โซเชียลเป็นสาธารณะ ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ง่าย จะช่วยยืนยันตัวตน ลดความเสี่ยงการถูกเรียกสัมภาษณ์ใหม่หรือขอเอกสารเพิ่ม และป้องกันปัญหาการปฏิเสธวีซ่าเพราะข้อมูลไม่ชัดเจน